ข้อบังคับการเยี่ยมญาติ
การเยี่ยมผู้ต้องขัง
ญาติสามารถเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังได้ตามเวลาที่กำหนด การเยี่ยมแบ่งเป็น 3 แบบ
๑. การเยี่ยมญาติปกติ (Video Conference)
๒. การเยี่ยมญาติทางไกลผ่านระบบจอภาพ (Video Conference; Televisit)
๓. การเยี่ยมญาติผ่านระบบแอพพลิเคชั่นไลน์ เปิดใช้งาน 4 ช่อง
ขั้นตอนการจองเยี่ยมผู้ต้องขัง
๑. การเยี่ยมญาติปกติ (Video Conference)
๒. การเยี่ยมญาติทางไกลผ่านระบบจอภาพ (Video Conference; Televisit)
๓. การเยี่ยมญาติผ่านระบบแอพพลิเคชั่นไลน์ เปิดใช้งาน 4 ช่อง
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ ID LINE ชื่อ “Klongpai 01” หรือโทรศัพท์หมายเลข ๐-๔๔๓๒-๓๓๑๘ ระหว่างเวลา ๐๗.๓๐ - ๑๔.๓๐ น. ในวันทำการ
FACEBOOL งานเยี่ยมญาติ เรือนจำกลางคลองไผ่ หรือ โทร 044 323318
อาหารการกิน
เมื่อเข้ามาอยู่ในเรือนจำ กรมราชทัณฑ์ก็รับประกันว่าผู้ต้องขังทุกคนจะมีสิทธิได้
รับอาหารฟรี วันละ 3 มื้อทุกๆวัน จนกว่าจะพ้นโทษ น่าเสียดายที่เรือนจำ
ได้รับงบประมาณค่าอาหารผู้ต้องขังแค่ 31 บาทต่อคนต่อวันเท่านั้น
(เฉลี่ยแล้วประมาณ 10 บาทต่ออาหาร 1 มื้อ ! ! ) ซึ่งนับว่าค่อนข้างน้อย
เพราะค่าข้าวสารค่าอาหารดิบ (กับข้าว) และค่าเชื้อเพลิงที่ใช้หุงต้ม
มีราคาสูงขึ้น การจัดหาอาหารให้ผู้ต้องขังด้วยงบประมาณเพียง 10 บาท30 สตางค์
ต่อมื้อต่อคนได้โดยที่ผู้ต้องขังไม่ประท้วง นั้นถือว่าเป็นโชคดีของผู้บริหารเรือนจำ
|
|
ตู้นึ่งข้าวในโรงครัวของทัณฑสถานฯ |
ผู้ต้องขังทุกคนจะได้รับข้าวขาวที่นึ่ง
ในถ้วยสเตนเลส ตามที่เห็นในภาพ |
ทัณฑสถานโรงพยาบาลฯ มีทีมงานโภชนาการที่ทำหน้าที่ควบคุมการหุงหาอาหาร
ซึ่งประกอบด้วยอาหารธรรมดา อาหารอ่อนและอาหารเหลวสำหรับผู้ต้องขังป่วย
รวมทั้งอาหารมุสลิมสำหรับผู้ต้องขังที่นับถือศาสนาอิสลาม
เสื้อผ้าเครื่องนอน
ผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำแห่งนี้ส่วนใหญ่เป็น ผู้ต้องขังป่วย ถ้าจะให้ซักเสื้อผ้าเองเหมือนผู้ต้องขัง ที่อยู่ในเรือนจำอื่นๆ
ก็คงไม่เหมาะสม ทัณฑสถานฯ จึงจำเป็นต้องรับภาระให้บริการ ซัก-อบ-รีด เสื้อผ้าและเครื่องนอนของผู้ต้องขังโดย
ใช้มาตรฐานเดียวกันกับที่ใช้ในโรงพยาบาลทั่วไป แต่ก็ให้บริการเฉพาะตอนที่เจ็บป่วยเท่านั้น
เมื่อหายป่วยถูกส่งตัวกลับเรือนจำเดิมแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบซักเสื้อผ้าของตัวเอง
|
|
โรงซักฟอกที่อยู่ภายในชั้นล่างของ
อาคารทัณฑสถานโรงพยาบาล
|
เครื่องรีดผ้าที่ช่วยให้ผู้ต้องขังทุกคน
ได้นอนบนผ้าปูที่นอน ที่ผ่านการรีดแล้ว
|
(ฝึกให้เคยชินไว้ไม่เสียหลาย เมื่อพ้นโทษออกจากเรือนจำไปแล้ว จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระ
แม่บ้านบ้างในการซักรีดเสื้อผ้า)ทัณฑสถานฯได้จัดเตรียมเครื่องซักผ้าและ
เครื่องอบผ้าขนาดใหญ่จำนวน10เครื่องไว้รองรับงานดังกล่าวเพื่อให้แน่ใจว่าเสื้อผ้าและเครื่องนอนของผู้ต้องขังทุกคน
จะได้รับการทำความสะอาด ฆ่าเชื้อโรคและซักด้วยน้ำร้อนอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ
|
|
คลังเก็บเสื้อผ้าและเครื่องนอน
ของผู้ต้องขัง |
เครื่องอบผ้าขนาด 125 ปอนด์ |
การรักษาพยาบาล
ผู้ต้องขังเมื่อเจ็บป่วย ก็จะมีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาล เท่าๆกับประชาชนทั่วไป คือ ใช้บัตรทอง "30 บาท รักษาทุกโรค" ได้ โดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่บาทเดียว เพราะกรมราชทัณฑ์ถือว่าผู้ต้องขังทุกคน เป็นผู้มีรายได้น้อยทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ มีแพทย์สาขาต่างๆเช่น อายุรแพทย์ ศัลยแพทย์ จักษุแพทย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติ-นรีเวช ด้าน หู คอ จมูก ด้านโรคผิวหนังศัลยกรรมกระดูก ศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะ เป็นต้นการผ่าตัดส่วนใหญ่สามารถทำได้ภายในทัณฑสถานโรงพยาบาลฯ ยกเว้นในบางสาขาเช่น การผ่าตัดสมองการรักษาด้วยรังสีบำบัดที่จำเป็น ต้องส่งตัวออกไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลภายนอก
|
|
บัตรทอง " 30 บาทรักษาทุกโรค"
ที่ทัณฑสถานออกให้กับผู้ต้องขัง |
จักษุแพทย์ของทัณฑสถานฯ
ใช้กล้องจุลทัศน์ในการผ่าตัดตา |
|
|
ผู้ต้องขังจากเรือนจำต่างๆถูกส่งมา
รับการรักษาวันละหลายร้อยคน |
เอกซ์เรย์ระบบดิจิตอลที่ใช้อยู่ใน
ทัณฑสถานโรงพยาบาลฯ |
บัตรทองช่วยให้ผู้ต้องขังทำฟันฟรีรวมทั้งการทำฟันปลอมฐานพลาสติก แต่...ฟันปลอมราคาแพงบางชนิด ผู้ต้องขังต้องขังต้องจ่ายเงินเอง
|
|
|
|
ทัณฑสถานโรงพยาบาล
มีทันตแพทย์ 6 คน
ทำหน้าที่รักษาโรคฟันให้ผู้ต้องขัง |
รถพยาบาลของทัณฑสถานโรงพยาบาลฯ |
การฝากของให้ผู้ต้องขัง
ไม่ต้องเสียเวลาฝากของให้ผู้ต้องขัง เพราะ เราอนุญาตให้ผู้ต้องขัง สั่งซื้อของจากซุปเปอร์มาร์เก็ต ของห้างสรรพ-สินค้าได้โดยตรง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ :
โดยปกติแล้ว เรือนจำทุกแห่งต้องตรวจค้นอาหาร และข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ที่ญาตินำมาฝากให้ผู้ต้องขัง เช่น สบู่ แชมพูสระผม ยาสีฟัน ผลไม้ ขนมปัง บะหมี่สำเร็จรูป กาแฟ น้ำหวาน ฯลฯ เพื่อป้องกันไม่ให้มีสิ่งของต้องห้าม ซุกซ่อนเข้ามากับของฝาก การตรวจค้นนั้นนอกจากจะเสียเวลาแล้ว บางครั้ง ก็ทำให้ของฝากเสียหายเพราะต้องตรวจกันอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม เรือนจำส่วนใหญ่จึงแก้ปัญหานี้โดยการตั้งร้านสงเคราะห์เ พื่อให้ญาติหรือผู้ต้องขังซื้ออาหาร และของใช้ต่างๆจากเรือนจำได้โดยตรง จึงไม่ต้องเสียเวลาตรวจค้น
ส่วนที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลนั้น มีปัญหาเรื่องขาดแคลนอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ ไม่สามารถจัดตั้งร้านสงเคราะห์ผู้ต้องขังได้ ดังนั้น ทัณฑสถานโรงพยาบาลฯ จึงแก้ปัญหานี้ โดยการอนุโลมให้ผู้ต้องขังสั่งซื้ออาหารและของใช้ต่างๆ จาก ซุปเปอร์มาร์เก็ต ของห้างสรรพสินค้าได้โดยตรง โดยทางซุปเปอร์มาร์เก็ตจะส่งรายการสินค้าทั้งหมด พร้อมราคามาให้ผู้ต้องขังเลือก และจะนำสินค้าที่ผู้ต้องขังสั่ง มาส่งให้ทุกๆวัน โดยวิธีนี้ ทำให้ทัณฑสถานฯไม่ต้องเสียเวลามายุ่งเรื่องค้าขาย (ตั้งหน้าตั้งตารักษา - ผ่าตัดผู้ต้องขังอย่างเดียวก็ทำกันแทบไม่ทันอยู่แล้ว) และที่สำคัญที่สุดก็คือ ผู้ต้องขังและญาติก็พอใจ เพราะมีสิทธิซื้อของได้ในราคาที่เท่ากัน กับประชาชนทั่วไป (ถ้าสินค้าที่ซื้อจากซุปเปอร์มาร์เก็ตแพงก็ไม่ต้องมาต่อว่าทัณฑสถานฯ ให้ไปต่อว่าห้างสรรพสินค้าได้เลยครับ)เงื่อนไขในการซื้อของจาก ซุปเปอร์มาร์เก็ต :
- ซื้อของได้วันละไม่เกิน 200 บาท (ตามระเบียบที่กรมราชทัณฑ์กำหนดไว้)
- ไม่อนุญาตให้ซื้อของฟุ่มเฟือย เช่น สบู่ อาหารสำเร็จรูปหรือ ขนมขบเคี้ยวที่นำเข้าจากต่างประเทศ
- ไม่อนุญาตให้ซื้อสินค้ามาเก็บกักตุนไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ต้องขังนำสินค้ามาใช้แทนเงินสด ในการเล่นการพนันกันในเรือนจำ
เครดิตข้อมูล: รพ.ราชทัณฑ์
กลับด้านบน
|